วันพฤหัสบดีที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556


Chevrolet Corvette รถสปอร์ตที่เป็นความภาคภูมิใจของอเมริกา ถูกสร้างโดยบริษัท Chevrolet ในเครือของ General Motor ผลิตขึ้นตั้งแต่ปี 1953 ในลักษณะของรถยนต์ต้นแบบ ซึ่งคันแรกออกแบบโดย Harley Earl ดีไซน์เนอร์ของบริษัท GM ผู้รักรถสปอร์ตเป็นชีวิตจิตใจ ปัจจุบัน Corvette ได้ผลิตออกมาทั้งหมดจำนวน 6 รุ่นที่เมือง Bowling green รัฐ Kentucky รถที่ผลิตออกมาถูกจัดแสดงที่ National Corvette Museum ซึ่งห่างจากโรงงานผลิตเพียงแค่ไม่กี่กิโลเมตร และยังจัดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวอีกด้วย
       Corvette ถูกตั้งตามชื่อโรงงาน Corvette ผู้ผลิตเรือรบลาดตระเวนเก่าแก่ ได้ถือกำเนิดขึ้นหลังสมัยสงครามโลกในช่วงที่รถสปอร์ตได้เติบโตในตลาดอย่าง รวดเร็ว เป็นช่วงที่ถูกมองว่าอะไรก็เกิดขึ้นได้รวมถึงการแข่งขันขึ้นมาเป็นผู้นำใน การผลิตรถสปอร์ต 2 ที่นั่งระดับโลกด้วย
            ว่าด้วยภาพรวมของตลาดรถในอเมริกาในช่วงยุค 60 จากความเจริญได้พลิกผันมาสู่ช่วงของการประท้วงต่อต้านสงคราม การเมืองอื้อฉาว และเกิดความไม่สงบ จนเข้าสู่ช่วงของยุค 70 สถานการณ์บ้านเมืองเริ่มกลับมาสู่สภาพที่ดีขึ้นและค่อยๆ กลับมาสดใสอีกครั้ง อาจเรียกได้ว่าช่วงทศวรรษนั้นตลาดของรถสปอร์ตเหมือนน้ำขึ้นน้ำลงเดี๋ยวดี เดี๋ยวร้าย และ Corvette ก็ได้กลับมาอีกครั้งในช่วงยุค 90 ด้วยเทคโนโลยีของเครื่องยนต์ขั้นสูง ทำให้การฟื้นตัวในตลาดรถของแต่ละค่ายในขณะนั้นแข่งขันกันอย่างสนุกสนาน

           รถที่ผลิตออกมารุ่นแรกเป็นรถต้นแบบที่ถูกเรียกว่า “Plastic bathtub” ซึ่งดูแล้วมีความเป็นตัวของตัวเองสูง นำมาพัฒนาเป็น Chevrolet Corvette (C1) และกลายเป็นรถที่สามารถวิ่งได้ทั้งบนถนน

          แต่ Harley Earl และบริษัท Chevrolet ก็ยังมุ่งมั่นว่า Corvette จะต้องเติบโตอย่างแน่นอน จึงคิดผลักดันให้ Corvette ที่เป็นรถต้นแบบให้มาอยู่บนโลกแห่งความจริง จึงได้ผลิตรุ่นที่ 2 ออกมาในปี 1963 เปิดตัวอย่างสะเทือนวงการรถยนต์ด้วยรถสปอร์ตที่มีชื่อว่า Sting Ray ซึ่งผู้ออกแบบได้แรงบันดาลใจส่วนหนึ่งมาจาก Jaguar E-Type จัดการผสมผสานกับรูปแบบของความเป็นอเมริกันแท้ๆ ใส่จิตวิญญาณของรถแข่ง และมีประสิทธิภาพของรถที่ดีเยี่ยม มีการระบุไว้ว่าเป็นรถที่ออกแบบได้ดีที่สุดเท่าที่ Corvette เคยทำมา ซึ่ง Stingray รุ่นใหม่ได้ถูกนำเข้าแสดงในภาพยนต์เรื่อง Transformers: Revenge of the Fallen

          ต่อมารุ่นที่ 3 Chevrolet Corvette (C3) ได้เปิดตัวในปี 1967 ซึ่งขั้นต้นได้เปิดตัวช้าเพราะมีข้อบกพร่องเยอะ แต่ได้ปรับปรุงจนสมบูรณ์เหมาะสมตามกาลเวลาของมัน โดยมีรูปแบบมาจากรถต้นแบบที่คนอเมริกันเรียกกันว่าฉลามมาโก๊ะMako Shark ซึ่งรุ่นนี้สามารถทำยอดขายได้สูงที่สุดถึง 53,807 คัน

          จากนั้นในปี 1984 Chevrolet Corvette (C4) ถือว่าเป็นการออกแบบครั้งใหม่ที่ทุ่มเทสุดกำลังของ Corvette ในรอบ 15 ปี ออกมาเป็นรถรุ่นที่มีความซับซ้อนและทันสมัยมากกว่ารถรุ่นก่อนๆ พร้อมด้วยเทคโนโลยีที่สูงกว่าเดิมเช่นหน้าจอดิจิตอลกราฟฟิคสำหรับดูสปีดและ วัดรอบ

           ต่อมาในปี 1997 Chevrolet Corvette (C5) รุ่นที่ 5 ได้ผลิตออกมาจนถึงปี 2004 ซึ่งรุ่นนี้ได้ชื่อว่าเป็นรุ่นที่ดีที่สุดเท่าที่ Corvette เคยผลิตขึ้นมา ทั้งรูปร่างหน้าตาที่ดูแข็งแรงและประสิทธิภาพของรถได้เปลี่ยนแปลงไปจากรุ่น ก่อนเป็นอย่างมาก สามารถเร่งความเร็วสูงสุดได้ที่ 291 km/h

           เข้าสู่ยุคปัจจุบันด้วยรุ่น C6 ผลิตขึ้นในปี 2008 และทางบริษัท Corvette ได้ยืนยันว่าจะยังไม่ผลิตรุ่นใหม่อย่างน้อยจนถึงปี 2012 รุ่นนี้จัดเป็นรุ่นที่มีพละกำลังสูงสุดและประหยัดน้ำมัน สามารถคว้าแชมป์ในรายการรถแข่ง American Le Mans Seriesในปี 2006

          Corvette ในประเทศอเมริกาได้รับการยกย่องและได้รับรางวัลมากมายเช่น Car of the Year ในปี 1984 และ 1998, รางวัล Best Engineered Car of the 20th century, และในปี 2010 กับรางวัล Best Luxury Sports Car for the Money



และสายการแข่งขัน เปิดตัวในปลายปี 1953 ด้วยโครงสร้างของ “solid-axle” ซึ่งผลิตจนถึงปี 1962 โดยการเปิดตัวครั้งนี้ได้อาศัยช่วงที่ประชาชนตื่นตัวกับรถต้นแบบ และคาดหวังว่ารถรูปแบบใหม่นี้จะสามารถทำกำไรให้กับบริษัทได้เป็นอย่างมาก แต่ผลที่ออกมากลับตรงกันข้ามไม่ประสบความสำเร็จเท่าไหร่นักด้วยยอดขายที่ลด ลงตั้งแต่ต้นปีจนโปรแกรมการผลิตของ Corvette เกือบถูกยกเลิก

Dodge Charger

   

Dodge แบรนด์ยานยนต์ชื่อดังสัญชาติอเมริกัน ก่อตั้งโดยสองพี่น้อง Horace และ John Dodge ในปี 1900 ปัจจุบันได้ถูกครอบครองโดย Cerberus Capital Management บริษัทลงทุนภาคเอกชนใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกาในนามของบริษัท Chrysler Group LLC
        ซึ่งทำงานร่วมกันกับบริษัท Fiat เพื่อพัฒนาแบรนด์ Dodge, Chrysler, และ Jeep ร่วมกัน มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่เมืองดีทรอยต์ รัฐมิชิแกน และมีสาขามากกว่า 60 ประเทศทั่วโลก

       ในปี 1900 สองพี่น้อง Horace และ John Dodge ได้ก่อตั้งบริษัท Dodge Brother เพื่อผลิตเครื่องยนต์และแชสซีส์ส่งขายให้กับบริษัทผู้ผลิตยานยนต์ในเมืองดี ทรอยต์ ซึ่งในขณะนั้นอุตสาหกรรมยานยนต์กำลังเติบโตเป็นอย่างมาก ต่อมาลูกค้ารายใหญ่ของ Dodge ได้ก่อตั้งบริษัท Olds Motor Vehicle และได้เปลี่ยนเป็นบริษัท Ford Motor ทำให้สองพี่น้อง Dodge กลายเป็นผู้ค้าชิ้นส่วนรถยนต์รายใหญ่ของรัฐดีทรอยต์ และพวกเขาก็ไม่ได้หยุดนิ่งเพียงแค่ขายอะไหล่ยนต์ให้กับบริษัทใหญ่ๆ เท่านั้น พวกเขาได้เริ่มทดลองสร้างรถยนต์ขึ้นมาให้เป็นแบรนด์ของตนเองในปี 1913
  Horace ได้คิดค้นเครื่องยนต์สี่สูบแบบใหม่ใส่ใน Dodge Model 30 ซึ่งถือได้ว่าเป็นรถรุ่นที่บุกเบิกเทคโนโลยีใหม่ๆ ให้กับรถยนต์รุ่นหลัง เพราะเป็นรถที่ใช้ระบบไฟฟ้า 12 โวลต์ เกียร์สไลด์ และโครงสร้างรถทำจากเหล็กทั้งคัน ซึ่งรุ่นนี้ได้สร้างชื่อเสียงให้กับสองพี่น้องเป็นอย่างมากทั้งในด้านของการ ผลิตและส่วนประกอบรถที่มีคุณภาพสูง จึงทำให้ติดอันดับรถขายดีที่สุดเป็นอันดับสองในสหรัฐอเมริกาในปี 1916 และเป็นคู่แข่งตัวฉกาจของ Ford Model T จากนั้นมา Dodge ก็ขึ้นชื่อในด้านของความทนทานและได้ถูกยอมรับโดยกองทัพสหรัฐอเมริกาที่ต่อ มากลายเป็นลูกค้ารายใหญ่ของ Dodge ในการผลิตรถให้แก่กองทัพในช่วงสงครามต่อต้านกองกำลังแม็กซิโก

        ในช่วงที่ Dodge กำลังรุ่งเรืองได้เกิดเหตุการณ์น่าสลดขึ้น เมื่อ John Dodge ได้เสียชีวิตลงในเดือนมกราคม ปี 1916 ด้วยโรคปอดบวม และในเดือนธันวาคมปีเดียว Horace Dodge ก็ได้เสียชีวิตลงด้วยโรคตับแข็ง ซึ่งคนใกล้ชิดได้ระบุว่าในช่วงหลังการเสียชีวิตของ John นั้น Horace อยู่ในความเศร้าโศกตลอดเวลา และไม่สามารถทำใจกับการสูญเสียในครั้งนี้ได้ ดังนั้นบริษัท Dodge Brother จึงตกไปอยู่ในการดูแลของภรรยาของทั้งสองคนซึ่งขึ้นมาเป็นผู้บริหารในเวลาต่อ มา และได้เซ็นสัญญาทางการค้ากับบริษัทผู้ผลิตรถบรรทุก Graham Brothers ซึ่งในช่วงนั้น Dodge ได้ขึ้นทำเนียบเป็นบริษัทชั้นนำในการผลิตรถบรรทุกของประเทศสหรัฐอเมริกา 

    ในปี 1925 บริษัท Dodge Brother ได้ถูกขายต่อให้กับกลุ่มผู้ลงทุน Dillon, Read & Co. ในราคา 146 ล้านดอลล่าห์สหรัฐ ซึ่งในเวลานั้นถือว่าเป็นการทำธุรกรรมเงินสดที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ และได้เข้าไปร่วมถือหุ้นของบริษัท Graham Brothers จำนวน 49% ในปี 1926 แต่หลังจากนั้นยอดขายยานยนต์ของ Dodge ไม่ได้ทำกำไรจึงทำให้กลุ่มลงทุน Dillon, Read & Co. ตัดสินใจขายบริษัทให้กับ Chrysler Corporation ในปี 1928

          แบรนด์ Dodge ไม่ได้มีการพัฒนารุ่นรถใดๆ ทั้งสิ้นหลังจากที่ผู้ก่อตั้งทั้งสองเสียชีวิต Chrysler จึงได้กลับมาพัฒนารูปลักษณ์ของ Dodge เป็นรูปแบบใหม่ ดูเพรียวลม และสวยงามขึ้น เรียกรูปแบบนี้ว่า Wind Stream และใช้เครื่องยนต์ 8 สูบ สำเร็จออกมาเป็นรถตระกูล Luxury Liner ซึ่งเป็นที่ถูกใจของตลาดเป็นอย่างมาก แต่ในช่วงที่กิจการกำลังรุ่งเรืองก็มีอันต้องชะงักลงในปี 1942 เนื่องจากประเทศสหรัฐเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 ทำให้ Dodge ต้องหันมาผลิตรถที่ใช้ในการสงครามแทน

          ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง กองทัพสหรัฐอเมริกาเลือกใช้แบรนด์ Dodge รถบรรทุกและรถพยาบาล ทั้งตระกูล VC และ WC จึงทำให้ Dodge เป็นที่รู้จักกันดีในเหล่าบรรดาทหารและประชาชน ส่งผลให้ภายหลังสงคราม Dodge ขายดีมากจนถึงปี 1948 แต่ด้วยดีไซน์เดิมๆ ของ Dodge ก็ไม่ได้เป็นที่ต้องตาต้องใจของตลาดในเวลาต่อมา จนมาถึงช่วงการเปลี่ยนแปลงในปี 1953 ภายใต้วิสัยทรรศของผู้นำ Virgil Exner ได้เปิดตัวเครื่องยนต์แบบใหม่ที่มีชื่อว่า Red Ram Hemi รุ่นที่ถูกออกแบบมาให้เล็กกว่า Chrysler Hemi และหันมาพัฒนาเชิงรุกในด้านการออกแบบมากขึ้น รถของ Dodge จึงเกิดวิวัฒนาการแบบใหม่ มีขนาดเล็กลง หลังคาสโลป และนำระบบการขับเคลื่อนล้อหลังของ Chrysler มาใช้ จึงได้รถรุ่นใหม่ Dodge Charger เป็นรุ่นที่ขายดีที่สุดและยังชนะการแข่งขัน NASCAR และตามมาด้วยรุ่นอื่นๆ เช่น Custom 880, Polara, และ Monaco 


   แต่ที่สร้างชื่อเสียงให้กับ Dodge มากที่สุดมาจนถึงปัจจุบันเมื่อ Dodge ได้หันมาเปิดตลาดรถยนต์คันใหญ่สไตล์อเมริกันที่มาพร้อมกับเครื่องยนต์ V8 ขนาดใหญ่หรือ Muscle car ในช่วงปลายปี 1960 เช่นรุ่น Charger, Coronet R/T, และ Super Bee เป็นช่วงที่ตลาดอเมริกาตื่นตาตื่นใจกับรถ Muscle Car เป็นอย่างมาก แต่ก็ต้องปิดกระแสลงด้วยวิกฤติน้ำมันของสหรัฐอเมริกาในปี 1973

           บริษัท Chrysler เจอพิษเศรษฐกิจเข้าขั้นวิกฤต ถูกคู่แข่งที่มีเสถียรภาพทางการเงินที่มั่นคงอย่าง General Motor และ Ford ชิงส่วนแบ่งทางการตลาดของ Dodge ได้อย่างรวดเร็ว แต่ Chrysler ก็ยังไม่ยอมแพ้นำรถรุ่นเก่ามาพัฒนาใหม่ เช่น Dodge Aspen, Dodge Diplomat แต่ก็ยังทำยอดขายได้ไม่ดีเท่าไหร่นัก ต่อมาในปี 1979 Chrysler ได้แต่งตั้งผู้บริหารคนใหม่ Lee Lacocca ซึ่งเขาได้ร้องขอและได้รับการค้ำประกันการกู้ยืมเงินจากกองทุนรัฐบาลกลาง สหรัฐ ทำให้บริษัทเริ่มมีสภาพคล่องทางการเงินมากขึ้น และเดินหน้าผลิตรถรุ่นใหม่ตระกูล K-Car ที่สามารถโดยสารได้ถึง 6 คน นั่นคือรุ่น Dodge Caravan เป็นรถมินิแวนรุ่นบุกเบิกที่เราเห็นกันในปัจจุบันนี้ ตามมาด้วยรถสปอร์ต Dodge Spirit รุ่นที่ประสบความสำเร็จด้วยยอดขายจำนวนมากจากทั่วโลก ในปี 1992 และรุ่นที่โด่งดังที่สุด Dodge Viper รถสปอร์ตที่ใช้เครื่องยนต์ V10 เป็นรุ่นแรกของโลกที่ถือว่าเป็นการคืนชีพของ Dodge อย่างแท้จริง
          ต่อมาในปี 1998 Chrysler Corporation ได้รวมตัวเข้ากับบริษัทยักษ์ใหญ่ Daimler-Benz AG และเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น DaimlerChrysler หรือที่รู้จักกันในนามของ Chrysler LLC และได้ขายหุ้นส่วนของบริษัทจำนวน 80.1% ให้กับบริษัท Cerberus Capital Management และ Daimler AG ก็ยังคงถือหุ้นอยู่จำนวน 19.9% จากนั้นได้ทำสัญญาพันธมิตรทางการค้ากับ Fiat บริษัทผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติอิตาลี และได้เปลี่ยนชื่อบริษัทใหม่เป็น Chrysler Group LLC ในปี 2009

         จากความนิยมของ Dodge Viper ที่ได้ปรากฎโฉมอยู่ตามรายการทีวีต่างๆ วิดีโอเกมส์ ภาพยนตร์ และมิวสิควิดีโอ ยังได้รับการตอบรับอย่างต่อเนื่อง ในปี 2010 ผู้บริหารคนล่าสุดของ Dodge ได้ประกาศว่าจะนำ Dodge Viper มาพัฒนาใหม่อีกครั้งสำหรับปี 2012

เชฟโรเลต คามาโร่ (Chevrolet Camaro)

 เชฟโรเลต คามาโร่ 
(Chevrolet Camaro)
 Pony'ชื่อซึ่งในขณะที่อ้างถึงรถยนต์ขนาดเล็กที่ราคาไม่แพงและมีความรู้สึก เกี่ยวกับการกีฬาจัดแต่งทรงผม (แนวโน้มที่ริเริ่มโดยฟอร์ดมัสแตงในปี 1964) ของพวกเขา, Camaro เรียงรายขึ้นควบคู่ไปกับการเลือกที่เคยเติบโตของยานยนต์ที่มีการต่อสู้เพื่อ การตลาดที่เพิ่มขึ้นเจ้าของ North American รักไฟ, กีฬารู้สึกและราคาของยานพาหนะและยอดขายที่เพิ่มมากขึ้นทำให้แน่ใจว่าผู้ผลิต จำนวนมากเอารูปแบบของตัวเองออกมาได้อย่างรวดเร็วพวกเขาสามารถ
  ปี 1970 และ 80 ของความสูงของรถได้เมื่อรถเป็นล้าน ๆ ฝันของผู้ซื้อไม่เพียง แต่ในประเทศ
  มีจำนวนห้าของแต่ละรุ่น Camaro ได้ถูกสร้างรุ่น 1-4 มีการผลิตระหว่าง 1966 และ 2002 (เมื่ออาคารของ Camaro หยุด) และการพัฒนาของรุ่นที่ห้า Camaro เริ่มต้นอีกครั้งในปี 2009 และแม้จะตรงข้ามกับมลภาวะเหล่านี้ยานของกล้ามเนื้อจากรณรงค์, Camaro ได้พิสูจน์ให้เห็นอีกครั้งหนึ่งประสบความสำเร็จขนาดใหญ่ที่มีประชาชน ชาวอเมริกัน
  Camaro ได้ตลอดเวลาทั้งใน hardtop และแปลงสภาพด้านบนนุ่มแปลงสภาพเป็นที่นิยมอย่างมหาศาลกับผู้ซื้อจากพื้นที่ ที่มีพรมแดนติดทะเลที่ชอบคิดว่าการล่องเรือท้องถนนชายหาดกับด้านบนลงมา, เสียงขึ้นและแว่นตากันแดดบนCamaro มีฐานแฟนเพลงขนาดใหญ่ที่มีเจ้าของจำนวนมากมีความเป็นเจ้าของรุ่นของ Camaro ทุกที่หนึ่งครั้งหรืออื่นและมากยิ่งขึ้นรูปแบบที่เปลี่ยนแปลงการถือครอง เพื่อทศวรรษ 1960 และการรักษาพวกเขาในสภาพที่เก่าแก่
  Camaro ได้เสมอยานพาหนะท​​ี่นิยมมากสำหรับการปรับปรุงในช่วงอายุการใช้งานรถ, การใช้จ่ายกับผู้ซื้อสัปดาห์และเดือนและเงินเพิ่มการเพิ่มประสิทธิภาพการทำ งานสูงเพื่อปรับปรุงรูปลักษณ์ของรถยนต์ของพวกเขาและอำนาจของ Camaro นอกจากนี้ยังมีที่ประสบความสำเร็จอย่างมหาศาลในการชนะหลาย autosport Trans - Am ชนะช​​ุดและหมายเลขใด ๆ ของชนชาติอื่น ๆ และชื่อผ่านตลอดชีวิตของมันracers จำนวนมากยังคงใช้วันนี้ Camaro รุ่นเก่าและยังคงประสบความสำเร็จมากที่ชนะเมื่อเทียบกับการแข่งขันรถที่ทัน สมัย​​มากขึ้น
  Camaro ชีวิตในวันนี้และมีประวัติ, ประสิทธิภาพการทำงานและรูปแบบที่ดีจากชาติที่ห้า, Camaro สามารถตรวจสอบว่าได้อยู่กับเราสำหรับปีมาชิ้นนี้ซื้อมาถึงคุณโดยพวกที่ http://www.NextConceptCars.comเว็บไซต์ที่ดีที่สุดสำหรับการแสดงความคิด เห็นข่าวและรายละเอียดเกี่ยวกับแนวคิดใหม่ล่าสุดรถยนต์, รถในอนาคตและล่าสุดใน 2012 Z28 Camaro
สหรัฐอเมริกา แต่ทั่วโลกความสมดุลของจัดแต่งทรงผมกีฬา, ประสิทธิภาพและเป็นที่นิยมโทรทัศน์แสดง romanticizing รถม้าเพิ่มความต้องการมากและความปรารถนาสำหรับคนที่จะเป็นเจ้าของเดียวไม่ เคยหายไป
Pony'ชื่อซึ่งในขณะที่อ้างถึงรถยนต์ขนาดเล็กที่ราคาไม่แพงและมีความรู้สึก เกี่ยวกับการกีฬาจัดแต่งทรงผม (แนวโน้มที่ริเริ่มโดยฟอร์ดมัสแตงในปี 1964) ของพวกเขา, Camaro เรียงรายขึ้นควบคู่ไปกับการเลือกที่เคยเติบโตของยานยนต์ที่มีการต่อสู้เพื่อ การตลาดที่เพิ่มขึ้นเจ้าของ North American รักไฟ, กีฬารู้สึกและราคาของยานพาหนะและยอดขายที่เพิ่มมากขึ้นทำให้แน่ใจว่าผู้ผลิต จำนวนมากเอารูปแบบของตัวเองออกมาได้อย่างรวดเร็วพวกเขาสามารถ
  ปี 1970 และ 80 ของความสูงของรถได้เมื่อรถเป็นล้าน ๆ ฝันของผู้ซื้อไม่เพียง แต่ในประเทศสหรัฐอเมริกา แต่ทั่วโลกความสมดุลของจัดแต่งทรงผมกีฬา, ประสิทธิภาพและเป็นที่นิยมโทรทัศน์แสดง romanticizing รถม้าเพิ่มความต้องการมากและความปรารถนาสำหรับคนที่จะเป็นเจ้าของเดียวไม่ เคยหายไป
  มีจำนวนห้าของแต่ละรุ่น Camaro ได้ถูกสร้างรุ่น 1-4 มีการผลิตระหว่าง 1966 และ 2002 (เมื่ออาคารของ Camaro หยุด) และการพัฒนาของรุ่นที่ห้า Camaro เริ่มต้นอีกครั้งในปี 2009 และแม้จะตรงข้ามกับมลภาวะเหล่านี้ยานของกล้ามเนื้อจากรณรงค์, Camaro ได้พิสูจน์ให้เห็นอีกครั้งหนึ่งประสบความสำเร็จขนาดใหญ่ที่มีประชาชน ชาวอเมริกัน
  Camaro ได้ตลอดเวลาทั้งใน hardtop และแปลงสภาพด้านบนนุ่มแปลงสภาพเป็นที่นิยมอย่างมหาศาลกับผู้ซื้อจากพื้นที่ ที่มีพรมแดนติดทะเลที่ชอบคิดว่าการล่องเรือท้องถนนชายหาดกับด้านบนลงมา, เสียงขึ้นและแว่นตากันแดดบนCamaro มีฐานแฟนเพลงขนาดใหญ่ที่มีเจ้าของจำนวนมากมีความเป็นเจ้าของรุ่นของ Camaro ทุกที่หนึ่งครั้งหรืออื่นและมากยิ่งขึ้นรูปแบบที่เปลี่ยนแปลงการถือครอง เพื่อทศวรรษ 1960 และการรักษาพวกเขาในสภาพที่เก่าแก่
  Camaro ได้เสมอยานพาหนะท​​ี่นิยมมากสำหรับการปรับปรุงในช่วงอายุการใช้งานรถ, การใช้จ่ายกับผู้ซื้อสัปดาห์และเดือนและเงินเพิ่มการเพิ่มประสิทธิภาพการทำ งานสูงเพื่อปรับปรุงรูปลักษณ์ของรถยนต์ของพวกเขาและอำนาจของ Camaro นอกจากนี้ยังมีที่ประสบความสำเร็จอย่างมหาศาลในการชนะหลาย autosport Trans - Am ชนะช​​ุดและหมายเลขใด ๆ ของชนชาติอื่น ๆ และชื่อผ่านตลอดชีวิตของมันracers จำนวนมากยังคงใช้วันนี้ Camaro รุ่นเก่าและยังคงประสบความสำเร็จมากที่ชนะเมื่อเทียบกับการแข่งขันรถที่ทัน สมัย​​มากขึ้น
  Camaro ชีวิตในวันนี้และมีประวัติ, ประสิทธิภาพการทำงานและรูปแบบที่ดีจากชาติที่ห้า, Camaro สามารถตรวจสอบว่าได้อยู่กับเราสำหรับปีมาชิ้นนี้ซื้อมาถึงคุณโดยพวกที่ http://www.NextConceptCars.comเว็บไซต์ที่ดีที่สุดสำหรับการแสดงความคิด เห็นข่าวและรายละเอียดเกี่ยวกับแนวคิดใหม่ล่าสุดรถยนต์, รถในอนาคตและล่าสุดใน 2012 Z28 Camaro

วันพฤหัสบดีที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

Ford Mustang Generation ที่ 1 (รุ่นปี ค.ศ. 1964-1973)

Ford Mustang Generation ที่ 1            (รุ่นปี ค.ศ. 1964-1973)
ในโฉมนี้ ช่วงแรกๆ หลังจากเริ่มเป็นที่นิยม จะใช้เครื่องยนต์ straight-6 ขนาด 2.8 ลิตร เกียร์ธรรมดา 3 สปีด เป็นมาตรฐาน ขายในราคา 2,368 ดอลลาร์สหรัฐ (เทียบเท่าเงินประมาณ 16,000 ดอลลาร์สหรัฐในปัจจุบัน) แต่ต่อมาได้มีการพัฒนาให้มีความแรงมากยิ่งขึ้น และเพิ่มขนาดเครื่องยนต์ และราคาแพงขึ้น
ในปีแรกหลังเปิดตัว รถมัสแตงมียอดขายถึง 478,812 คัน และในปีเดียวกับการเปิดตัวครั้งแรก มัสแตงถูกนำไปใช้แสดงในภาพยนตร์เจมส์ บอนด์ เรื่อง จอมมฤตยู 007 ด้วย
เครื่องยนต์รุ่นท็อปของฟอร์ด มัสแตง โฉมที่ 1 นี้ เห็นจะได้แก่ เครื่องยนต์ Super Cobra Jet V8 7.0 ลิตร 375 แรงม้า ซึ่งถือเป็นแรงม้าที่สูงมากเมื่อเทียบกับรถอื่นๆ ในยุคเดียวกัน ซึ่งเครื่องยนต์รุ่นท็อปนี้ ถูกผลิตใช้เป็นครั้งแรกในรุ่นปี ค.ศ. 1971
รถมัสแตงในโฉมนี้ ส่วนใหญ่จะเป็นรถ 2 ที่นั่ง ตัวถัง 3 แบบ convertible , hardtop , fastback 2 ประตู คละกันไป แต่ในช่วงปลายๆ ของโฉม รถประเภท pony car ขายไม่ดี เนื่องจากผู้บริโภคเริ่มไม่สนใจรถยนต์ประเภทนี้ เพราะราคาแพงเกินไป จึงเริ่มหันไปซื้อรถที่ราคาถูกและประหยัดกว่า ยอดขายฟอร์ดมัสแตงจึงลดลง ทางฟอร์ดจึงเร่งผลิตรถโฉมที่ 2 ออกมา

ฟอร์ด มัสแตง (Ford Mustang)


 Ford Mustang



ฟอร์ด มัสแตง (Ford Mustang) เป็นรถมัสเซิล ( ชื่อเรียกรถสปอร์ตของอเมริกัน ) ผลิตโดยบริษัทรถยนต์สัญชาติอเมริกัน ฟอร์ด รถได้รับการเปิดตัวครั้งแรกที่วันที่ 17 เมษายน 1964 [1]ปัจจุบันฟอร์ดมัสแตง ได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในรถที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดของฟอร์ด
ฟอร์ด มัสแตง เป็นรถที่ได้รับความนิยมพอสมควรในแถบอเมริกาและยุโรปบางส่วน ในปีเดียวกับการเปิดตัวครั้งแรก รถมัสแตง ถูกนำไปใช้แสดงในภาพยนตร์เรื่อง จอมมฤตยู 007 มัสแตงมีจุดเด่นในความที่เป็นรถที่ ฝาครอบเครื่องยนต์ด้านหน้าจะยาวเมื่อเทียบสัดส่วนกับรถทั่วไป
มัสแตง มียอดขายเฉลี่ย 1 ล้านคัน ทุกๆ 18 เดือน (สูสีกับ โตโยต้า โคโรลล่า หรือที่คนไทยรู้จักในชื่อ "อัลติส") จากอดีตถึงปัจจุบัน ซึ่งการที่รถสปอร์ตที่มีราคาแพงกว่ารถเก๋งเล็กๆลิบลิ่ว กลับมียอดขายใกล้เคียงกับรถเก๋งขนาดเล็กราคาถูกยอดนิยมของญี่ปุ่น แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพและความนิยมในมัสแตง
มัสแตง จัดเป็นรถประเภท Pony Car คือ เป็นได้ทั้งรถสปอร์ตและรถCompact ทั่วไป ซึ่งเป็นรถที่เอนกประสงค์สำหรับผู้ที่ชื่นชอบรถสปอร์ต เป็นรถที่เล็ก แต่แรงกว่ารถเก๋งทั่วไป
มัสแตง จนถึงปัจจุบันก็ยังผลิตอยู่ โดยแบ่งออกเป็ย 5 โฉม ตามช่วงเวลาได้ดังนี้